[รีวิว] Benjarong – Dusit Thani ร้านอาหารไทยฟิวชั่นสุดบรรเจิด

  • 0

image
ดุสิตธานี โรงแรมเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ที่ถนนมากกว่า 40 ปี ห้องอาหารหนึ่งของโรงแรมนี้ที่อยู่กับโรงแรมมาตั้งแต่เปิดบริการในปี พ.ศ. 2511 เป็นห้องอาหารไทยที่มีการตกแต่งแบบไทยโบราณ เสิร์ฟอาหารไทยแท้แบบชาววังดั้งเดิม  นั่นคือห้องอาหารเบญจรงค์ ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจชาวสีลมและชาวต่างชาติที่เป็นลูกค้าประจำของโรงแรมนี้อย่างไม่ขาดสาย  แต่ไม่นานมานี้ ทางห้องอาหารได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 40 ปี นั่นคือการเปลี่ยนเป็นอาหารไทยประยุกต์แบบ Complementary วันนี้เราจะพาท่านไปชมว่า เบญจรงค์โฉมใหม่จะไฉไลขนาดไหน




image
ร้านเบญจรงค์อยู่ใกล้ล็อบบี้ของโรงแรมดุสิตธานี ถ้าเข้าจากทางด้านหน้าของโรงแรมต้องผ่านล็อบบี้จะเห็นห้องอาหารตกแต่งด้วยผนังหินแกรนิตมีโทนสีไม้และน้ำตาลอ่อนเด่นเป็นสง่า
image
ด้านหน้าของร้านมีรูปปั้นรามเกียรติ์แสดงออกเอกลักษณ์ความเป็นไทย
image
ตรงประตูทางเข้า พนักงานสาวสวยในชุดไทยยืนให้การต้อนรับ พร้อมเดินนำท่านไปสู่โต๊ะ
image
เมื่อเข้ามาจะพบกับห้องอาหารที่ตกแต่งในสไตล์ไทยคลาสสิค ด้วยเพดานที่มีคานและขื่อแบบไทย เสาต้นใหญ่ท่มีลวดลายไทย เก้าอี้ที่ทำจากไม้ เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งอีกมากมายในสไตล์ไทยแท้ๆ
image
ผนังด้านข้างของร้านเป็นกระจก เปิดรับแสงธรรมชาติจากด้านนอก อีกทั้งยังทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารเพลิดเพลินไปกับวิวน้ำตกด้านนอกและความร่มรื่นของแมกไม้ใหญ่ เสมือนอยู่กลางสวนน้ำตกในวรรณคดีไทย
image
ชื่อของร้านคือเบญจรงค์ สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ เครื่องเบญจรงค์ เครื่องปั้นดินเผาเคลือบห้าสีที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทางร้านก็มีการนำเอาเครื่องเบญจรงค์และเครื่องถ้วยชามทั้งหลายมาประดับไว้ในตู้ สร้างบรรยากาศร้านอาหารไทยสไตล์ชาววังได้เป็นอย่างดี
image
บนโต๊ะอาหารมีการตกแต่งให้มีความเป็นตะวันตกสอดแทรกเข้าไปเล็กน้อย จะเห็นได้จากแก้วไวน์ที่วางประจำไว้กับจานช้อนส้อม บอกเป็นนัยให้แขกที่มาทานรู้ว่า ถึงแม้การตกแต่งจะเป็นไทยสูง แต่อาหารของทางร้านก็มีความเป็นตะวันตกผสมผสานอยู่ด้วย
image
ผ้าเช็ดปากถูกม้วนเอาไว้อย่างดี และมีที่รัดผ้าเช็ดปากที่มีสีเงินลวดลายไทย ถึงถือว่าทางร้านพิถีพิถันในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอย่างมาก
image
บนโต๊ะใหญ่บางโต๊ะ ก็มีขันทองใส่น้ำ วางประดับด้วยดอกบัวพับกลีบอย่างงดงาม ทำให้แขกรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะเริ่มรับประทานอาหาร
image
เมื่อเราเริ่มสั่ง ทางผู้จัดการร้านซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสก็เข้ามาแนะนำตัวและแนะนำร้าน คุณผู้จัดการบอกกับเราว่าทางร้านเพิ่งจะทำการปรับเปลี่ยนอาหารจากเดิมที่เป็นอาหารชาววัง เป็นอาหารไทยประยุกต์ หรือ Contemporary โดยจะมีการฟิวชั่นอาหารไทยและอาหารตะวันตกเข้าด้วยกัน แต่ยังคงเป็นเมนูไทยอยู่ โดยไอเดียการผสมผสานทั้งหมดเป็นฝีมือการรังสรรค์ของเชฟชาวเดนมาร์กผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารไทยมามากกว่า 10 ปี เราจึงถือโอกาสนี้ให้ทางผู้จัดการร้านแนะนำเมนูเด็ดของร้านให้เราได้ลองทาน
image
หลังจากที่เราสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว ทางร้านก็นำ Welcome Snack มาให้ทานระหว่างรออาหาร ซึ่งก็เป็นหนึ่งในผลงานฟิวชั่นของร้าน คือป็อบคอร์นรสพริกแกง รสพริกแกงนั้นจัดจ้าน เข้มข้นแม้ว่ากลืนไปแล้วรสพริกแกงก็ยังติดอยู่ที่ลิ้น แต่ไม่เผ็ดจนเกินไป แค่เมนูเรียกน้ำย่อยก็ทำให้เราเริ่มสังเกตถึงการฟิวชั่นอาหารไทยกับตะวันตกซะแล้ว
image
ลืมบอกไปนิดว่าสำหรับเครื่องดื่มที่นี่ ถ้าหากสั่งเป็นน้ำเปล่า น้ำเปล่าที่นี่จะเป็น Evian ซึ่งมีให้เลือกทั้งที่เป็น Still และ Sparkling
สำหรับอาหารที่นี่จะแบ่งเป็นหมวดคือ Small Plates ทานเล่นระหว่างรออาหาร, Soups ถ้วยเล็กๆสำหรับแต่ละคน, Starters, Main dishes, และ Sharing โดยพนักงานจะเสิร์ฟทีละหมวด ถ้ายังทานไม่เสร็จ จะไม่เสิร์ฟหมวดต่อไป ทำให้เราสามารถใช้เวลาเพลิดเพลินและเก็บรายละเอียดของอาหารแต่ละจานได้อย่างเต็มที่ และไม่นานเกินรอ Small Plates ชุดแรกของเราก็มาถึง…..
image
สำหรับ Small Plates สองชุดแรกที่เราสั่งมาคือ Tasting Journey Trio และ Aromatic Trio จานที่เห็นด้านบนนี้คือ Tasting Journey Trio ซึ่งประกอบไปด้วยอาหารสามชนิดพอร์ชั่นเล็กๆ วางมาในถาดแนวยาว มาเริ่มดูทีละอย่างกันเลย จานซ้ายสุดคือปลาหมึกทอดขมิ้น เป็นปลาหมึกที่ทอดในขมิ้นมีลีเหลืองชัดเจน เลือกเฉพาะส่วนที่เป็นหนวดมาทอด มีความเกรียมเห็นได้ชัด ปลาหมึกมีรสเปรี้ยวของเครื่องที่หมัก รสพริกไทยก็เด่นชัดเจนมาก  เหมาะกับคนชอบทานรสจัดจ้าน จานกลางคือหอยเชลล์ปรุงเครื่องเทศและมะละกอในน้ำกะทิ นอกจากหอยเชลล์แล้วยังมีมะละกอหั่นเต๋าวางรองด้านใต้ รสชาติโดยรวมเหมือนหอยเชลล์หมักในน้ำต้มข่าไก่ กลิ่นกะทิเข้มข้นออกหวานนิดๆ ด้านขวาสุดคือหมูอบราดน้ำจิ้มน้ำมะเขือเทศรมควัน มีแคบหมูวางประดับด้านบน หมูอบรสออกหวานนิดๆ เนื้อหมูนิ่มกำลังดีไม่เหนียว
image
Small Plate จานที่สองAromatic Trio ประกอบไปด้วย ไส้อั่วไก่, ไหลบัวกับน้ำพริกหนุ่ม, และเผือกทอดรสต้มยำ ไส้อั่วชิ้นไม่ใหญ่ มีกระดูกไก่วางประดับด้านบนให้รู้ว่าทำมาจากไก่ รสชาติกำลังดี รสไม่จัดและไม่เผ็ดจนเกินไป น้ำพริกหนุ่มก็ประดับด้วยไหลบัว ตัวน้ำพริกหนุ่มรสชาติดีไม่เผ็ดมากจนเกินไป สามารถทานคู่กับเผือกทอดได้ เผือกทอดมีกลิ่นเผือกชัด มีรสหวานเค็ม กรอบ โดยรวมอาหารเรียกน้ำย่อยของเราทั้งหกอย่างมีความสร้างความประทับใจในรสชาติและการผสมผสานได้ดี แต่นี่แค่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น….
image
เมื่อทานเสร็จพนักงานก็จะมาเก็บไป และเสิร์ฟอาหารรายการต่อไป ซึ่งก็คือซุป เราสั่งซุปมาสองชนิด คือต้มข่าไก่ กับต้มยำกุ้งกับต้มข่าไก่ ตอนแรกพนักงานก็จะนำต้มทั้งสองแบบแห้งๆ ยังไม่มีน้ำมาเสิร์ฟ จนเราแปลกใจว่าทำไมต้มแต่ไม่มีน้ำ สักพักพนักงานก็กลับมาอีกรอบพร้อมเหยือกเล็กๆที่ใส่น้ำซุปไว้  พนักงานบอกว่าที่ไม่ใส่น้ำไปตอนแรกเพื่อเป็นการรักษาความอุ่นของอาหาร ถ้าทำเสร็จแล้วแต่แขกยังไม่พร้อมทาน จะทำให้ต้มเหล่านี้เย็นชืด อุ่นใหม่ก็จะทำให้เสียรสชาติ เลยแยกน้ำไว้ต่างหาก และนำมาเสิร์ฟในถ้วยทีหลัง ซึ่งถือว่าเป็นการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
image
ต้มข่าไก่อยู่ในถ้วยขนาดพอหนึ่งคนทาน มีไก่แร่เป็นชิ้นบางๆ หลายชิ้น มีเห็ดโคน ขิงข่าตระไคร้ โรยหน้าด้วยพริกและผักชี รสของน้ำต้มข่านั้นไม่หวานมาก รสกะทิไม่จัด ออกเค็มปนหวาน เนื้อไก่นุ่มหั่นอย่างประณีตไม่ติดกระดูก
image
ต้มยำกุ้ง มีกุ้งหั่นเป็นชิ้นๆ ไม่ได้เป็นตัวๆ น้ำไม่ค้นมาก แต่รสชาติเข้มข้นออกเค็มนิดๆ ไม่เปรี้ยวและไม่เผ็ด กลิ่นกุ้งในน้ำต้มยำชัดมาก ส่วนตัวอยากให้รสต้มยำออกเปรี้ยวมากกว่านี้อีกหน่อยก็จะได้รสชาติดี
image
อีกหนึ่งเมนูฟิวชั่นท่าทางร้านภูมิใจนำเสนอคือฟัวกราส์ราดซอสมะขามและโฟมสัปปะรด เป็นการนำเอาอาหารฝรั่งเศสอย่างฟัวกราส์มาย่างแล้วราดด้วยซอสมะขามแบบไทย ฟัวกราส์นั้นนุ่มมาก ละลายในปาก มีขิงและมะพร้าวซอยเป็นชิ้นเล็กๆโรยอยู่บนฟัวกราส์ ทานคู่กับฟัวกราส์ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ เพราะปกติฟัวกราส์นิยมทานคู่กับซอสที่มมีรสเปรี้ยวอย่างแอบปริคอท แต่ทว่าที่นี่ใช้ความแสบของขิงมาดับความเลี่ยนของฟัวกราส์ แล้วใช้มะพร้าวเพิ่มรสหวาน ด้านข้างก็ยังมีโฟมสัปปะรสซึ่งมีรสเปรี้ยว  น่าสนใจมากครับ
image
มาถึง Main Course ของวันนี้กัน ซึ่งเราสั่งมาทั้งหมด 3 อย่างด้วยกัน มาดูจานแรกกันเลย สะเต๊ะกุ้งลายเสือกับดอกกะหล่ำและซอสถั่ว ในจานหนึ่งมีกุ้งตัวใหญ่ 2 ตัว รสชาติสะเต๊ะเข้าเนื้อ ซอสถั่วออกหวานเค็ม รสไม่จัดมาก ด้านข้างยังมีมินท์เจลลี่ซึ่งมีรสเปรี้ยว ทานกุ้ง ซอสถั่วพร้อมกันกับเจลลี่จะได้ครบทั้งเปรี้ยวหวานเค็ม
image
จานต่อไปคือ สันคอหมูพะโล้ ตอนแรกเรานึกว่าจะมาเป็นถ้วยพะโล้ แต่นั่นคงธรรมดาเกินไป เช่นเดียวกับซุปจานก่อนหน้านี้ สันคอหมูพะโล้ถูกเสิร์ฟในจานแบบแห้งๆ ไม่มีน้ำพะโล้ ก่อนที่พนักงานจะนำน้ำพะโล้มาราดทีหลัง ส่วนเหยือกที่ใส่น้ำพะโล้ก็จะนำมาวางไว้ให้เราเติมเองได้ จานถูกแต่อย่างสวยงามด้วยหมูพะโล้หนึ่งชิ้น ผักคะน้า แคบหมู และซอสฟักทอง ซึ่งทีเด็ดอยู่ตรงซอสฟักทองนี่แหละครับ เพราะเป็นซอสฟักทองบดที่ถูกเคี่ยวแล้วเพิ่มรสเปรี้ยวด้วยน้ำส้มสายชู เป็นส่วนผสมแบบไทยๆแต่ให้รสชาติออกมาเปรี้ยวเหมือนซอสแอบปริคอท ทานคู่กับหมูพะโล้แล้วเด็ดมากๆ เนื้อหมูเองนั้นไม่เหนียวและไม่ติดมัน น้ำพะโล้นั้นรสจะออกเค็มมากกว่าหวาน ถ้าต้องการเติมน้ำพะโล้เพิ่มก็สามารถเติมน้ำพะโล้จากเหยือกที่พนักงานนำมาเสิร์ฟได้
image
Main Course จานสุดท้ายเป้นอกเป็ดราดน้ำมันหอยเสิร์ฟพร้อมมะเขือยาว กะหล่ำปลี และเกี๊ยวกรอบ เป็ดนั้นนุ่มติดมันนิดๆ หนังค่อนข้างกรอบ ราดด้วยซอสโหระพากับน้ำมันหอยรสชาติออกเค็มแต่ได้ความจัดของกลิ่นโหระพาเพิ่มรสชาติ ตรงกลางเป็นกะหล่ำปลีดอง ทานเพื่อแก้เลี่ยนของเป็ดและซอส มีเกี๊ยวกรอบแผ่นหนึ่งไว้ทานคู่กับเป็ด โดยรวมแล้วประทับใจในรสชาติของเป็ดและน้ำซอสมาก
พออิ่มจากของคาวก็ได้เวลาของหวานครับ สำหรับของหวานที่นี่ก็เป็นฟิวชั่นเช่นเดียวกัน มาดูกันเลยว่าร้านอาหารประยุกต์ของหวานแบบไทยออกมาอย่างไรบ้าง
image
ของหวานจานแรกคือเค้กกะละแมเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมและกล้วยหอมทอด เป็นครั้งที่ได้เห็นกาละเมนำมาประยุกต์เป็นเค้กทานกับไอศครีม กะละแมนั้นมีความหวานและความเหนียว มีไส้มะพร้าวเล็กน้อย กินพร้อมไอศครีมกล้วยหอมที่หอมหวาน ด้านบนมีกล้วยทอดเป็นแผ่นๆ มาประยุกต์ไว้ทานกับไอศครีมเช่นกัน
image
ข้าวเหนียวมะม่วง ชื่ออาจจะธรรมดา แต่ทว่าพอเห็นแล้วต้องบอกว่าที่นี่ไม่มีอาหารจานไหนธรรมดา เพราะนอกจากจะมีข้าวเหนียวกับมะม่วงที่หวานแล้ว ยังใส่น้ำแข็งปุยที่ทำจากมะพร้าวคล้ายวิปครีม ทานคู่กับข้าวเหนียวแล้วได้ความแปลกใหม่ เพราะได้ความเย็นนุ่มหวานของปุยมะพร้าว ได้ความเค็มของน้ำกะทิ และได้ความหวานหอมของมะม่วง แนะนำว่าต้องลองครับ
image
ของหวานจานสุดท้ายของเราในวันนี้คือไอศกรีมโหระพาใส่เนื้อสัปปะรด เสิร์ฟพร้อมเมอแรงก์รสเค็ม เป็นไอศครีมก้อนใหญ่ซึ่งเป็นรสโหระพา หลายคนคงสงสัยว่าไอศครีมรสโหระพาจะมีรสอย่างไร รสของไอศครีมนั้นคล้ายมิ้น  แต่มีความเผ็ดฉุดของใบโหระพา สร้างความแปลกใหม่ได้ดี ข้างใต้ของไอศกรีมมีเมอแรงส์กรอบๆและสัปปะรดหั่นเป็นเต๋าๆลองอยู่ด้านล่าง ทานคู่กับไอศกรีมแล้วได้ทั้งความเย็นสดชื่นและความหวานกรอบ
image
พอทานของหวานจบแล้วก็สั่งน้ำชาปิดท้าย ซึ่งชาที่นี่ก็ยังไม่วายเป็นแบบฟิวชั่นอีกเช่นเดียวกัน โดยชาฟิวชั่นที่ทางร้านแนะนำเป็น Signature ของร้าน มีชาเขียวโลตัส, ชาดำโลตัส, และชาตะไคร้ เราเลยลองสั่งชาตะไคร้มา ตอนที่พนักงานนำชาในการินใส่ถ้วย เราจะได้กลิ่นของตะไคร้จากถ้วยแรงมาก นึกว่าชาจะมีรสแรง แต่ผิดคาดครับ กลิ่นตะไคร้นอกจากจะไม่แรงเท่าที่คิดแล้ว ยังมีกลิ่นหอม นุ่มมาก จนเราติดใจ
image
พนักงานยังนำมาการองต์มาเสิร์ฟให้เราทานคู่กับชาด้วย เป็นมาการองต์แบบฟิวชั่นเช่นเดียวกัน มีทั้งรสกาแฟ, เสารส, ตระไคร้, และมะลิ
สรุปแล้วมื้อนี้นอกจากบรรยากาศร้านแบบไทยๆให้เราได้อิ่มเอม เรายังได้เพลิดเพลินตื่นตาตื่นใจกับอาหารไทยประยุกต์ซึ่งทำให้เรารู้สึกเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลาที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟ ค่าเสียหายทั้งหมดนี่ประมาณหกพันกว่าบาทครับ เรามาทานกันสามคนตกคนละสองพัน ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับความสวยงามของสถานที่ การบริการที่ดี และประสบการณที่ได้รับจากอาหารฟิวชั่นที่นี่
image
สำหรับคนที่ต้องการเดินทางมายังห้องอาหาร โรงแรมดุสิตธานีตั้งอยู่ต้นถนนสีลม ติดแยกศาลาแดง ฝั่งตรงข้ามสวนลุมพินี หากท่านเดินทางด้วยรถใต้ดิน ให้ลงที่สถานีสีลม และสามารถออกที่ทางออก 2 ก็จะขึ้นถึงโรงแรมทันที แต่ถ้าหากมาจากรถไฟฟ้าให้ลงที่สถานีศาลาแดง ให้เดินย้อนมาทางสวนลุมพินี จะเห็นโรงแรมดุสิตธานีอยู่ทางขวา เดินเข้ามาผ่านล็อบบี้จะเห็นห้องอาหารเบญจรงค์ตกแต่งด้านหน้าร้านแบบไทยเด่นสะดุดตา
สุดท้ายนี้อยากให้ทุกท่านได้ลองมาทานเบญจรงค์โฉมใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องเดินก้าวไปข้างหน้า ไม่เว้นร้านอาหาร แล้วท่านจะได้เพลิดเพลินตื่นตาตื่นใจกับอาหารไทยฟิวชั่นสุดสร้างสรรค์ของร้าน และกลับบบ้านด้วยความประทับใจเหมือนพวกเราในวันนี้
ข้อมูลทั่วไปห้องอาหาร Benjarong – Dusit Thani Bangkok
Opening Hour:
Lunch: Monday to Friday, 12:00 to 14:30
Dinner: Monday to Sunday, 18:00 to 22:00
Address:
946 พระราม 4 แขวง สีลม เขต บางรัก กรุงเทพ 10500
Map:

No comments:

Post a Comment