วันนี้ขอนำเสนอร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยมใจกลางเมืองย่านสุขุมวิทยอดเยี่ยมทั้งรสชาติ บรรยากาศ และวิวทิวทัศน์ กับร้าน Kacho ณ โรงแรม Imperial Queen’s Park ชั้น 37 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงแรมอีกด้วย มาดูกันว่ารสชาติอาหารจะพิเศษอย่างไร และตึกสูงใจกลางเมืองจะมีวิวทิวทัศน์สวยขนาดไหนเมื่อพร้อมแล้วเราไปลุยกันเลย
เมื่อก้าวขาออกจากลิฟต์ท่านจะรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในประเทศญี่ปุ่นทันทีที่ไปถึงก็จะพบกับซุ้มประตูเรือนไม้สไตล์ญี่ปุ่นโบราณและพนักงานที่ยืนต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมพาเดินไปที่โต๊ะ สำหรับการตกแต่ง ทางร้านให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดแม้แต่ทางเดินเข้าร้านระยะสั้นๆ ก็ตกแต่งได้อย่างสวยงามด้วยการยกสวนจำลองสไตล์ญี่ปุ่นมาให้ได้ชมต้นไม้2ข้างทางโอบล้อมเข้าหากันเป็นซุ้มประตูคอยต้อนรับท่านใบไม้ 2 สีตัดกันอย่างลงตัวสวนประดับประดาด้วยก้อนหินเล็กใหญ่ ที่พื้นโรยด้วยกรวดสีขาวแทนพื้นดิน แซมด้วยโถศิลปะสไตล์เอโดะผนวกกับการไล่ระดับแสงที่ยอดเยี่ยม ทำให้สวนนี้ช่วยสร้างบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
ป้ายชื่อร้านที่ทำจากแผ่นไม้โบราณซึ่งแอบอยู่ในสวนต้อนรับด้านหน้านี้ยิ่งช่วยเสริมบรรยากาศร้านให้มีกลิ่นอายของญี่ปุ่นอย่างชัดเจน
จึงอยากแนะนำให้ท่านแวะถ่ายรูปสวยๆ ได้ที่มุมนี้ รับรองว่าภาพที่ได้จะเหมือนท่านได้ไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นจริงๆ
แค่สวนต้อนรับก็ทำเอาประทับใจสุดๆ เสียแล้ว แต่บรรยากาศดีๆ ของร้านยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ทางร้านได้จัดแบ่งโซนด้านในไว้เป็นอย่างดี เรามาดูกันเลย
เริ่มจากโซนแรก ดูภายนอกเหมือนกับบ้านทรงโบราณของชาวญี่ปุ่นแท้ๆ แต่ที่จริงแล้วเรือนหลังนี้คือโซนซูชิบาร์ ใครที่อยากทานซูชิแบบใกล้ชิดให้เชฟดูแลเสิร์ฟคำต่อคำแนะนำให้นั่งโซนนี้เลย นอกจากลีลาการปั้นซูชิของเชฟแล้ว ยังมีสุดยอดวิวจากชั้น 37 ให้ได้ชมเพลินๆ ระหว่างทานอีกด้วย
นอกจากนี้ทางร้านยังมีห้องส่วนตัวไว้บริการจะนัดสังสรรค์กับเพื่อนเป็นกลุ่มหรือนัดคุยธุรกิจก็ดูเหมาะดี
การตกแต่งทางเข้าของแต่ละห้องทำได้อย่างสวยงาม คงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นไว้ได้ดีสามารถนำของพื้นบ้านชาวญี่ปุ่นอย่างกระบวยตักน้ำมาจัดวางได้เข้ากันลงตัว (ค่าบริการห้องละ 500 บาท)
มาดูบรรยากาศภายในของแต่ละห้องกัน พื้นห้องปูด้วยเสื่อทาทามิพร้อมโต๊ะแบบญี่ปุ่น สร้างบรรยากาศการทานอาหารญี่ปุ่นแบบแท้ๆ ห้องดูเป็นส่วนตัวเหมาะกับการรับรองแขก และทุกห้องยังมีหน้าต่างบานใหญ่ ไม่ลืมให้ท่านเพลิดเพลินกับวิวจากตึกสูง เราลองมาชมวิวจากชั้น 37 กันดูนะครับว่าสวยงามแค่ไหน
และแล้วก็มาถึงโต๊ะของเราที่โซนกระจก กว่าจะเดินมาถึงก็เพลินกับบรรยากาศจนลืมความหิวกันเลยทีเดียว
วันนี้พนักงานจัดให้นั่งโต๊ะติดริมหน้าต่างบานใหญ่เต็มผนังเพื่อความสะดวกในการชมวิว หากสังเกตดูจะพบว่าแม้จะเป็นมุมเล็กๆ ทางร้านก็ไม่ลืมตกแต่งเสริมบรรยากาศ โดยการนำโคมไฟหินแบบญี่ปุ่นสมัยเก่ามาประดับคู่กับต้นไผ่ตามสไตล์สวนหินญี่ปุ่น
บอกได้เลยว่าร้านนี้ไม่ได้มีดีแค่บรรยากาศ เรามาเริ่มสั่งอาหารกัน ทางร้านมีอาหารให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยทางร้านจะมีมินิสลัดถ้วยเล็กมาเสิร์ฟให้แต่ละคนมินิสลัดประกอบด้วยปูอัด กุ้ง ปลาหมึก แครอท นำมาราดสลัดน้ำใส พร้อมโรยงา น้ำสลัดใสมีรสเปรี้ยวนำแล้วตามด้วยความหวานนิดๆ รสเปรี้ยวของน้ำสลัดช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี
เมนูเรียกน้ำย่อยของเรายังไม่หมด มาถึงเมนูแรกกับ สลัดปลาดิบรวมอโวคาโด Sashimi Avocado Salad สลัดผักไฮโดร ท็อปปิ้งด้วย ซาชิมินานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น แซลมอน ปลาโอ ปลาหมึกยักษ์ กุ้ง และหอยปีกนก โรยหน้าด้วยไข่กุ้งแท้ๆ สังเกตที่เม็ดไข่กุ้งจะใหญ่กว่าร้านทั่วไป เคี้ยวแล้วกรุบๆ แตกในปาก ผสานรสชาติต่างๆ ด้วยน้ำสลัดงาซีอิ๊วญี่ปุ่น เมื่อทานพร้อมกันจะได้ลิ้มรสความหวานจากซาชิมิพร้อมความเค็มจากโชยุที่กลมกล่อมในน้ำสลัด ซึ่งเข้ากันได้ดีกับความมันตามธรรมชาติของอโวคาโด
อีกเมนู starter ที่อยากแนะนำคือ หนวดปลาหมึกย่างซีอิ้ว Ikageso Yaki แม้จะดูธรรมดา แต่บอกได้เลยว่าหาร้านที่ทำหนวดปลาหมึกย่างอร่อยๆ ในเมืองไทยยากเหลือเกิน จึงรู้สึกโชคดีมากที่ได้ลองเมนูนี้ หนวดปลาหมึกกล้วยชิ้นใหญ่หวานฉ่ำนำมาย่างซีอิ้ว ทางร้านใช้ไฟได้ดี ย่างออกมาสุกพอดิบพอดี กัดแล้วกำลังหนึบๆ ไม่เหนียวไป ไม่เละไป มีกลิ่นเกรียมของเตาถ่านช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
เมื่อมีของย่างก็ต้องมีของทอดนะครับ เมนูที่ทางร้านแนะนำ ปูทาราบะหรือปูอลาสกลาเทมปุระ Taraba Tempura ขาปูชิ้นโตชุบแป้งทอดเป็นเทมปุระกรอบๆ จุ่มลงน้ำจิ้มเทมปุระผสมไชเท้าและขิง เมื่อทานจะรู้เลยว่าทอดได้ดีกรอบไม่อมน้ำมัน ส่วนเนื้อปูนิ่มและหวานมากแสดงถึงความสดของวัตถุดิบ ไชเท้าถูกนำมาฝนสดๆไม่ได้ทิ้งไว้นานไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวและช่วยดูดซับความเลี่ยนของน้ำมันส่วนเกินได้เป็นอย่างดี
มาถึงเมนูหลัก เมนูเด็ดที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอคือชุดเบนโตะชุดโกโชคุรุมา-สเต็กและปลาหิมะ Gosho Kuruma Gindara Steak เห็นการเสิร์ฟตกแต่งก็ประทับใจแล้วทางร้านจะเสิร์ฟอาหารมาในรถเกวียนแบบญี่ปุ่นซ้อนกัน 5 ชั้น สวยงามอลังการงานสร้างเมื่อเปิดดูทีละชั้นจะพบกับเซ็ตเบนโตะที่ลงตัวในเซ็ตเดียว
เริ่มจากชั้นแรกเปิดมาเจอกับ สเต็กเนื้อออสเตรเลียสไตล์ญี่ปุ่น กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูกทันที แทบอยากจะลองทานทันทีที่ได้กลิ่น แต่ในที่สุดก็อดใจไว้ได้เพื่อเปิดให้ครบแล้วนำมาเรียงให้สมกับเป็นเบนโตะ
เริ่มทานจากชุดเครื่องเคียงเพื่อตัดรสของเทมปุระออกเสียก่อน ได้แก่ ผักขมราดน้ำสลัดงาแบบข้น ตามต่อด้วยยำสาหร่ายญี่ปุ่น ปลาหวานแบบญี่ปุ่น และทีเด็ดในชั้นนี้คือ ไข่ม้วนญี่ปุ่นสูตรไม่หวาน สอดไส้ด้วยปลาไหลย่าง ใช้ความหวานจากปลาไหลย่างแทนการใส่น้ำตาลในไข่ม้วน ช่างเป็นเมนูที่สร้างสรรค์ยิ่งนัก
ต่อมาก็ถึงสเต็กเนื้อจากออสเตรเลียแม้จะมีไขมันแทรกน้อย แต่รสชาติและกลิ่นของเนื้อเข้มข้น ย่างมาแบบ medium rare เนื้อข้างในสีไม่แดงสด แสดงว่ามีการอบตัวของเนื้อภายใน เมื่อทานแล้วรู้สึกนุ่มมาก เนื้อไม่เหนียว รสชาติเข้มข้น ยิ่งทานกับข้าวสวยร้อนๆ โรยหน้าด้วยสาหร่ายแห้ง ยิ่งเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก
จากนั้นก็ตัดรสของเนื้อด้วยผักต้มนานาชนิดๆ ที่อยากแนะนำคือเผือกต้ม ปกติที่อื่นจะหั่นเป็นสี่เหลี่ยมแต่ที่นี่เผือกจะเป็นก้อนกลมดูแปลกตา มีรสหวาน เนื้อไม่เละ
และแล้ว ก็มาถึงพระเอกของเช็ตนี้ นั่นคือปลาหิมะย่างหรือที่เรียกว่า กินดาระ เนื้อปลานุ่ม หนังกรอบหอมกลิ่นไหม้นิดๆ เพิ่มความสุนทรีย์ของรสชาติ มีการปรุงรสเพื่อตัดความเลี่ยนจากน้ำมันที่ออกจากเนื้อปลาด้วยเลมอน ตอนทานจะรู้สึกฉ่ำไปด้วยรสหวานธรรมชาติของเนื้อปลา โดยมีรสเปรี้ยวติดปลายลิ้น รู้ตัวอีกทีก็ทานหมดเสียแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ปลาหิมะย่างเสิร์ฟมาพร้อมกับ หอยนางรมชุบแป้งทอด หอยตัวใหญ่รสชาติดี นับได้ว่าเป็นชุดเบนโตะที่ผ่านการรังสรรค์มาอย่างดีให้สมบูรณ์แบบในชุดเดียวจริงๆ
ปิดท้ายเมนูของคาวด้วย ซุปกาซีฟู้ดและไก่ Dobinmushi เพื่อความสมบูรณ์แบบก่อนทานของหวาน ภายในซุปประกอบด้วยกุ้ง ปลาหมึก หอยเชลล์ เนื้อไก่ บีบมะนาวลงในซุปก่อนรินใส่ถ้วยเล็ก น้ำซุปมีรสชาติอ่อนผสมความเปรี้ยวจากมะนาวทำให้รู้สึกสดชื่นทันทีที่ทาน เหมาะจะเป็นเมนูปิดท้ายก่อนเริ่มของหวานเสียจริง
สำหรับของหวาน มาเริ่มกันที่ของหวานจากชุดเบนโตะ เรียกว่าครบสูตรภายในชุดเดียวจริงๆ สมกับที่เป็นเมนูเด็ดของทางร้าน ของหวานเป็น Mizu Youkan หรือก็คือวุ้นถั่วแดง แม้ว่าท่านจะไม่ได้สั่งเบนโตะ ก็อยากแนะนำให้สั่งเมนูนี้ทานจริงๆ วุ้นถั่วแดงเนื้อเนียนนุ่มแช่เย็นๆ ทานแล้วลื่นคอ รสชาติไม่หวานไป กำลังดี ได้รสชาติและกลิ่นหอมของถั่วแดงอ่อนๆ
มาถึงเมนูของหวาน 2 อย่างสุดท้ายที่สั่งมาทานคู่กันคือ ไอศกรีมชาเขียวราดถั่วแดง Macha Ice Cream Ogura กับ โมจิย่างคลุกแป้งคินาโกะ Mochi Abekawa แป้งโมจินำไปย่างร้อนๆ กรอบนอกนุ่มใน โรยด้วยแป้งคินาโกะทานพร้อมกับไอศกรีมชาเขียวราดถั่วแดง ได้กลิ่นหอมและได้รสขมของชาเขียว ผสมกับรสหวานจากถั่วแดงทานคู่กับแป้งโมจิย่าง เป็นการปิดท้ายมื้อนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูอีกมากมายให้เลือกทาน และยังมีบริการบุฟเฟ่ต์อีกด้วย โดยจะแบ่งเป็น 2 แบบคือ
1. Sushi all you can eat ที่มีบริการทุกวัน ทางร้านจะเสิร์ฟ starter ประจำวันมาให้ หลังจากนั้นท่านสามารถสั่งซูชิและโรลต่างๆ ได้ไม่อั้น หากอยากลองมาทาน แนะนำให้โทรมาจองล่วงหน้านะครับ ราคาอยู่ที่ 480 บาท ++ หรือเพิ่มเป็น 550 บาท ++ จะได้รับเซ็ตเท็มปุระเพิ่ม
2. A la carte buffet ทุกช่วงเย็นของวันอาทิตย์ (18.00-22.00 น.) ท่านสามารถเลือกสั่งทานได้ไม่อั้น จากเมนูกว่า 60 เมนู ที่ทางร้านทำสดๆ ใหม่ๆ ในราคา 850 บาทสุทธิ รวมเครื่องดื่มชาเขียวไม่จำกัด
ทางร้านมีโปรโมชั่นส่วนลดมากมาย หากท่านถือบัตรเครดิต KTC หรือ Citi Bank ในช่วงนี้จะได้รับส่วนลด 15% โปรโมชั่นจะหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ยังไงถ้าให้ดีโทรมาสอบถามกับพนักงานตั้งแต่ตอนจองโต๊ะได้เลย หรือหากมีบัตร Imperial Privileges ก็สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดได้ถึง 20 %เลยทีเดียว
สำหรับวันนี้ค่าอาหารและเครื่องดื่มที่ทานไปทั้งหมด ได้รับส่วนลด 20% รวมอยู่ที่ 2,370 บาท นับว่าคุ้มค่ามากทั้งจากรสชาติและบรรยากาศ อีกทั้งพนักงานบริการได้ดีเยี่ยม เป็นกันเอง และอบอุ่นสไตล์ญี่ปุ่น ทำให้อยากกลับมาทานอีกจริงๆ
สำหรับการเดินทางมายังโรงแรม Imperial Queen’s Park หากขับรถให้เลี้ยวเข้าซอย สุขุมวิท 22 แล้วตรงไปประมาณ 150 เมตร โรงแรมจะอยู่ทางซ้ายมือ หรือจะนั่ง BTS มาลงที่สถานีพร้อมพงศ์ก็ได้ หากดูตามแผนที่จะเขียนว่าออกทางประตู 2 แต่จริงๆ แล้วให้เดินเลยไปออกที่ประตู 6 จะสะดวกกว่า ตรงนี้จะสังเกตตึกสูงๆ ของโรงแรมได้เห็นชัดเจน จะเลือกเดินไปเข้าทางสุขุมวิท 22 ก็ได้ แต่ทางเราแนะนำให้เดินทะลุอุทยานเบญจสิริ หันหน้าเข้าอุทยานเดินชิดขวาจะพบกับทางเข้าด้านหลังของโรงแรม เมื่อเข้ามาภายในโรงแรมให้เดินไปฝั่ง Queen Park Tower จากนั้นกดลิฟต์ไปที่ชั้น 37 ได้เลย
ข้อมูลทั่วไปห้องอาหาร Kacho - Imperial Queen's Park
Opening Hour:
มื้อกลางวัน 11.30 – 14.00 น.
มื้อเย็น 18.00 – 22.00 น.
บุฟเฟ่ต์วันอาทิตย์ 18.00 – 22.00 น.
Address:
สุขุมวิทซอย 22, แขวงคลองตัน, เขตคลองเตย, กรุงเทพ 10110
Map:
No comments:
Post a Comment